Saturday, 3 October 2009

Que Sera, Sera 2009

Que Sera, Sera

ผมเริ่มรู้จักกับเพลงนี้ครั้งแรกจากหนังสือเรื่องเพชรพระอุมา

เป็นฉากที่มาเรียไปสำรวจถ้ำกับไชยยันต์ (จำไม่ค่อยได้แล้วอะ นานมากแล้ว) แล้วมาเรียก็ร้องเพลงนี้ขึ้นมา

แต่เป็นท่อนสั้นๆ แต่โดนใจ เพราะรู้สึกว่ามาเรียทิ้งความสวย ความรวย มาลุยในป่าที่ไม่รู้ว่าจะตายตอนไหน


ครั้งที่สองที่ได้ยินเพลงนี้คือตอนดูการ์ตูนของจิบลิเรื่อง ครอบครัวยามาดะ

ครอบครัวยามาดะ เป็นการ์ตูนสั้นๆหลายๆตอน เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวหนึ่งในญี่ปุ่น

และในฉากสุดท้าย เป็นฉากในโรงเรียน เด็กๆถามครูว่า "ครูมีเป้าหมายในชีวิตอย่างไรบ้าง"

ครูไม่ตอบ แต่เขียนภาษาญี่ปุ่นตัวใหญ่ๆว่า Que Sera, Sera แล้วเพลงนี้ก็ถูกร้องโดยครอบครัวยามาดะในตอนท้ายๆเรื่อง


ล่าสุดกับ โฆษณาไทยประกันชีวิต...คงไม่ต้องพูดถึงให้มาก เพราะคงได้ดูกันหมดแล้ว

ยอมรับเลยว่าตอนดูครั้งแรกรู้สึกอึ้งมาก รู้สึกกลัวอนาคตที่มองไม่เห็นขึ้นมาทันที แบบว่า อยากโทรไปซื้อประกันเลยละ


สรุปว่าการมาของ Que Sera, Sera ทั้ง 3 ครั้ง ผมรู้สึกดีกับครอบครัวยามาดะมากที่สุด

รู้สึกเป็นวิธีคิดที่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็กๆ เหมือนในเพลงเลย พ่อจะสอนด้วยหลักธรรม แบบ อย่าประมาท แต่ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นเช่นนั้นเอง ของท่านพุทธทาส ........แต่ก็ยังอยากซื้อประกันอยู่นะ



Que Sera, Sera (Whatever Will Be, Will Be) , 1956

written by the Jay Livingston and Ray Evans

When I was just a little girl
I asked my mother
What will I be?
Will I be pretty?
Will I be rich?
Here’s what she said to me:

Que sera, sera.
Whatever will be, will be.
The future’s not ours to see.
Que sera, sera.
What will be, will be.

When I grew up and fell in love
I asked my sweetheart
What lies ahead?
Will we have rainbows
Day after day?
Here’s what my sweetheart said:

Que sera, sera.
Whatever will be, will be.
The future’s not ours to see.
Que sera, sera.
What will be, will be.

Now I have children of my own.
They ask their mother,
What will I be?
Will I be handsome?
Will I be rich?
I tell them tenderly:

Que sera, sera.
Whatever will be, will be.
The future’s not ours to see.
Que sera, sera.
What will be, will be.
Que sera, sera.

Thursday, 17 September 2009

ชีวิตวัย(รู)ทีน

วันจันทร์

*7.30 น. ตื่น
8.20 น. ออกจากบ้าน
8.30 น. ขึ้นทางด่วนประชาชื่น ฟังเรื่องเล่าเช้านี้ในรถ
9.15 น. ส่งบีที่ออฟฟิศ ขับรถต่อมาออฟฟิศ4d
9.40 น. จอดรถคาร์ฟู
9.50 น. เดินต่อมาทำงาน
10.10 น.เจอน้องอี่ พี่ปทาน และพี่สุรัตน์ นั่งกันเงียบๆ
10.20 น. นั่งท่าบิดๆเบี้ยวๆ เพื่อให้พี่หมวยมาดูดฝุ่นใต้โต๊ะ
10.30 น.เปิด gmail facebook twitter stu45.com f0nt.com
11.30 น. โอชินมา
12.00 น. พี่ปุ้ย กะเจน ชวนกินข้าว ลงไปซื้อที่แคนทีน กับข้าว 2 อย่าง ข้าว 2 ห่อขึ้นมากิน
12.30 น. อิ๋งมา
13.00 น. พี่ต้องมา
13.10 น. ลงไปซื้อน้ำชามะนาว แซวป้านิดหน่อย
13.30 น. เปิด gmail facebook twitter stu45.com f0nt.com
14.00 น. เริ่มทำงาน
14.30 น. เดินไปฉี่ แต่มีคนเข้า ....เดินกลับ
17.00 น. พี่เด๋ยมา
18.00 น. บางทีก็ประชุม บางทีก็กินไก่ทอด บางทีดีหน่อยก็มีวันเกิดใครสักคนให้ทำเป็นเซอร์ไพร้ส์
19.00 น. คนอื่นทยอยกลับบ้าน ทำงานต่อ ดีที่มีแตง ปอม พี่อุ้มอยู่บางวัน
20.00 น. บีมาหาที่คาร์ฟู
20.30 น. ออกจากออฟฟิศ
20.40 น. เดินเล่น เดินดูของลดราคา รอเวลา 3 ทุ่ม อาหารญี่ปุ่นลดราคา
21.00 น. ไปซื้ออาหารญี่ปุ่น
21.30 น. ออกจากคาร์ฟู ฟังข่าวข้น คนข่าว ในรถ
22.00 น. ถึงบ้าน
22.10 น. กินแก้วมังกร ดูข่าว 3 มิติไปด้วย
22.30 น. หลับคาทีวี
23.00 น. ตื่น เดินขึ้นห้องนอน ไปนอนต่อ

วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัส วันศุกร์
(ซ้ำ *)


ปล.
วันที่ 15 กย.ที่ผ่านมาเป็นวันครบรอบ 6 ปี บี-เต้ย
เราฉลองกันอย่างมีความสุข เมนูพิเศษคือน้ำผลไม้แท้ 15% และปลาซาบะของวันก่อน
เรากินไปดู ข่าวข้น คนข่าว ไป จากนั้นก็อ่านบ้านและสวนเล่มล่าสุด
จะมีชีวิตแบบนี้ได้ ไม่ใช่ง่ายๆนะครับ

Wednesday, 17 June 2009

odot#16_20090617

เคยสงสัยมั๊ยครับว่า ทำไมต้องมีพริ้ตตี้ ในงานขายรถ


.
.
.
เอ่อ.....(ไหนวะรถ ?)


งานมอเตอร์โชว์จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. 1979 แต่วัฒนธรรมการยืนบังรถของเหล่าบรรดาพริตตี้เริ่มมีมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1986 (ข้อมูลการวิจัยอันนี้ได้มาจากฟอเวิร์ดเมว ซึ่งไม่น่าเชื่อถือยิ่งนัก ฉะนั้นห้ามเอาไปอ้างอิงโดยเด็ดขาด)













พริตตี้ เริ่มยืนบังรถในปี 1986



เทคนิคการบัง มีสูตรสำเร็จคือระบบซ้อนชั้น 3 เลเยอร์ ประกอบด้วย
1. รถที่ต้องการขาย อยู่ชั้นในสุด
2. พริตตี้ อยู่ชั้นกลาง
3. เสื้อผ้าพริตตี้ อยู่ชั้นนอกสุด

พริตตี้ต้องบังรถให้มากที่สุด ส่วนเสื้อผ้า ต้องบังพริตตี้ให้น้อยที่สุด (ดูรูปบนสุดประกอบ)

ไม่น่าเชื่อว่าเทคนิคการปิดบังซ่อนเร้นแบบนี้จะทำให้มีความอยากซื้อเพิ่มขึ้น ถ้าไม่โดนกับตัวเองคงไม่รู้
ผมหาอุปกรณ์แต่งรถจักรยานอยู่ครับ
เดินหาตามร้านก็พอมีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อยากซื้อ ไม่รู้ทำไม

จนได้มาเจอกับภาพนี้
.
.
.




















ผมโทรสั่งซื้อตระกร้าหวายอันนี้ด่วนเลย...รู้สึกอยากได้มาก
และแผนการตลาดระบบเอาพริตตี้มาบังแบบนี้ก็ทำให้บี (ผู้อนุมัติ) คล้อยตามไปด้วยเช่นกัน
ถ้ามีแต่ตระกร้าธรรมดาคงไม่เอา พอมีเด็กอ้วนมานั่ง มันเหมือนภาพในอุดมคติว่า เออ ถ้าเราซื้อมาแล้ว พอมีลูกคงจะมีอะไรน่ารักๆแบบนี้มาอยู่ในตระกร้ามั่งเน๊อะ...


























คงจะพอรู้กันแล้วนะครับ ว่าทำไมต้องมีพริ้ตตี้ ในงานขายรถ

Tuesday, 16 June 2009

ODOT#15_20090616



วันนี้มีจักรยานพับมาโชว์ครับ

คันแรก ..ไอ้ตัวเล็ก จักรยานพับขนาด 16 นิ้ว (วัดขนาดจากล้อครับ) ซื้อมาได้ประมาณ 2 เดือน จากร้าน ส.สมบัติคานามูจิ ดูจากชื่อร้านแล้ว นำเข้าจากญี่ปุ่นชัวร์ แต่ไม่แน่ใจว่าเจ้าของชื่อเฮียสมบัติหรือเฮียคานามูจิกันแน่ เพราะแกพูดไทยไม่ชัด...และพูดญี่ปุ่นไม่ได้ด้วย สำเนียงเลยออกมาผสมๆเหมือนชื่อร้าน แกขายให้ 2000 บาท สภาพแตนๆ เลยถามเล่นๆถึงตะกร้า...ดันมีอีกต่างหาก เป็นตะกร้าพับได้ด้วย โดนไปอีก 400 บาท ต้องเอาไปรีแพร์อีกนิดคงน่ารักสมวัย...


เอาไอ้ตัวเล็กไปออฟฟิศด้วย 1 วัน พี่หอมได้ลองขี่ 1 รอบ ติดใจ เลยพาพี่หอมไปซื้อ นัดกันวันเสาร์ที่ผ่านมาที่ย่านเซียงกง แถวตลาดสามย่าน ตอนแรกก็กะว่าจะพาพี่หอมไปซื้อเฉยๆ ปรากฎว่าเดินไปเดินมาไปเจอตัวแม่สีขาว จักรยานพับแนวทัวร์ริ่งขนาด 20 นิ้ว สวยมากๆ เลยโดนไปอีก 1 คัน


ระหว่างรอปรับเบรกตัวแม่...อีกคันก็ประกอบเสร็จพอดี เฮ้ย! เมื่อกี้มันยังเป็นซากอยู่เลย ตอนนี้ละโคตรสวย เอ้า เอาอีก 1 คัน ...ตัวพ่อ ทัวร์ริ่ง 20 นิ้วเหมือนกัน แต่มีเกียร์


ตอนนี้เลยมีจักรยาน 3 คัน พ่อแม่ลูก ถ่ายนอกบ้านเหมือนจะดูดีนะครับ แต่ขอโทษ ต้องจอดในบ้าน ..กลัวหาย บ้านก็รโหฐานมาก ซื้อไม่คิด


ใครจะไปก็เข้าจุฬาซอย 5 ซอยย่อย 26-34 แถบนี้นะมีเพียบเลย แต่วันอาทิตย์จะปิดกันเกือบทุกร้าน จอดรถได้ที่ตลาดสามย่าน แต่ถ้ามาวันอาทิตย์จะจอดตรงไหนก็เชิญตามสบาย แต่ร้านเปิดน้อยมาก บางอาทิตย์ผีหลอกเอาง่ายๆ เพราะร้านปิดหมด สนนราคาก็เริ่มตั้งแต่ 2000 บาท ร่ายไปจนถึง 6000 - 7000 ตามสภาพวัสดุ ยี่ห้อ และเทคนิคการพับ


ไปร้านแบบนี้ต้องตาดีๆหน่อยนะครับ เพราะของมันมาเป็นล็อตใหญ่ๆ ผสมผสานของดีของเน่าคลุกเคล้ากันไป เราเลือกโครงแล้วไปเปลี่ยนอาน เปลี่ยนแฮนด์ได้ ถ้าคุยดีๆขอของแถมพวกกระดิ่ง หรือที่ล็อคล้อดีเทลแปลกๆตามสไตล์ญี่ปุ่นเอาได้ง่ายๆ ....ขอให้สนุกนะครับ

Friday, 1 May 2009

ODOT#14_20090430

วันนี้เอารูปสวยๆมาให้ชมครับ
แค่นั้นเลย


ได้มาจากฟอเวิร์ดเมวครับ

Friday, 27 March 2009

ODOT#13_27032009



วันนี้ซื้อของมาให้บั๊ดดี้ ตามนโยบายสร้างสุข เพราะมีคนรู้สึกถึงความเงียบเหงาของชาว4d
เลยซื้อเครื่องดื่มชูกำลังมาให้พี่ปุ้ยด้วย ยี่ห้อ "แรงเยอร์"

ทำไมต้อง แรงเยอร์

อาจจะมาจากคำว่า ranger เรนเจอร์ แล้วถอดรูทเป็น rang er แรงเยอร์ แปลว่า ชาวแรงๆ
ซึ่งดันไปพ้องเสียงกับคำว่า แรงเยอะ ในภาษาไทย......โอ้ว กว่าจะได้ชื่อมา 1 ชื่อนี่คิดกันมากจริงๆนะ

หรือจริงๆก็ไม่ต้องคิดกันมาก ว่ากันตรงๆ
อย่างเครื่องดื่มตรา "หมีคอมมานโด" คือกินแล้วพลังหมือนหมี เก่งเหมือนพวกคอมมานโดชัวร์เลย

แต่ก็มีบางผลิตภัณฑ์ที่ทำเอางงเหมือนกันว่ามาจากอะไร
ชุดนักเรียรตรา "ช้างแมมมอธ" มันยังไง มันทนทานยังกะช้างแมมมอธรึเปล่า แต่มันสูญพันธุ์ไปแล้วนะ
ยาธาตุน้ำขาวตรา "กระต่ายบิน" เป็นสัตว์ในตำนานรึเปล่า
ยาฆ่าหญ้าตรา "หมาแดง" ออกฤทธิ์มากกว่าหมาธรรมดามั๊ย
ยาอมตรา "ตะขาบ 5 ตัว" ถ้ามากกว่า 5 จะกลายเป็นยาแก้โรคที่ร้ายกว่ามั๊ย หรือ 3 ตัว ก็แค่ยาอมเฉยๆ
ยาหม่องตรา "ลิงถือลูกท้อ" อันนี้งงมาก ใครรู้ช่วยบอกทีว่ามันมาจากอะไร

หรือใครตั้งชื่อผลิตภัณฑ์อะไรที่มันพิศดาลกว่านี้ก็เขียนมาบอกกันบ้างนะ
อยากรู้จริงๆ





ปล. ขอให้บั๊ดดี้มีความสุขมากๆนะครับ

Monday, 2 March 2009

ODOT#12_02032009

ออกแล้วครับ aday bulletin ฉบับบ 32 หน้าปก กาละแมร์
กับบ้่านของหนุ่มร่างใหญ่ ผู้ใช้ชีวิตเหมือน วอร์เรน บัฟเฟตต์

http://www.daypoets.com/adb/adb32.html


วอร์เรน บัฟเฟตต์ จากวิกิพีเดีย
วอร์เรน เอดเวิร์ด บัฟเฟตต์ (Warren Edward Buffett) นักลงทุนชาวอเมริกา เจ้าของบริษัท Berkshire Hathaway ในปี พ.ศ. 2551 ได้ป็นเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกแทนที่ บิลล์ เกตต์ ด้วยจำนวนเงิน 62,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ....เอาแค่นี้พอ

นี่เค้าเอาตูมาเปรียบกับเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกเลยเหรอเนี้ยยย!!!

น่าสนใจขึ้นมาทันที
ลองมาดูปรัชญาการใช้ชีวิตของนายบัฟเฟตต์กัน


ข้อแรก - อย่าตั้งเป้าหมายที่เกินกว่าจะเอื้อมถึง
"ผมจะไม่พยายามกระโดดข้ามที่สูง 7 ฟุต แต่ผมจะมองหาคานไม้ที่สูง 1 ฟุต ที่ผมจะสามารถที่จะเดินข้ามได้อย่างสบายๆ"

ข้อ 2 - สมถะในการใช้จ่าย
นายบัฟเฟตต์แต่งตัวแบบเรียบง่าย ไม่สนใจใส่เสื้อผ้าที่เป็นแบรนด์เนมราคาแพง จนเคยถูกนักข่าวคนหนึ่งเหน็บแนมเขา เรื่องที่เขาชอบใส่สูทราคาถูกๆ อย่างไม่ให้ความสนใจว่า " ผมเคยซื้อสูทราคาแพงๆ แต่เมื่อผมใส่มันแล้ว มันก็ดูเหมือนของราคาถูก"

ฟังดูเข้าท่าเหมือนกันนะครับ ถ้าจะลองใช้ชีวิตแบบนี้ดู ให้สมกับที่เค้าเอาเราไปเปรียบ
เอ้า..พอเพียงกันเถอะ

Saturday, 21 February 2009

ODOT#11_21022009

ถ้า aday มาสัมภาษณ์


ใครคือฮีโร่ตอนเด็ก
โงกุน

กลัวอะไรมากที่สุดในชีวิต
กลัวสิ่งที่ไม่รู้ เช่น ความมืด ไม่รู้ว่าจะมีอะไรโผล่มา

ทริปการเดินทางที่ประทับใจที่สุด ไปไหนและเมื่อไหร่
ภูสอยดาว ไปกับเพื่อนตอนประมาณปี 44 มั้ง

คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งบ่งชี้ว่าตุณโตเต็มวัย
ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งแบบจริงจัง

คุณดีไซน์ความตายของคุณไว้อย่างไร
อยากตายแบบรู้ตัวว่าจะตาย เช่น แก่ตาย หรือเป็นโรคร้ายที่มีช่วงรอดนิดหน่อย น่าจะเป็นเวลาคิดโปรเจ็คต์งานศพเจ๋งๆได้

ความจริง 1 ข้อที่คนอื่นไม่มีทางรู้
จริงๆอยากชกมวยไทยมาก และบีเพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานมานี้ เลยซื้อนวมกะกระสอบทรายเป็นของขวัญให้วันวาเลนไทน์

คุณจะไม่มีทางนอนตายตาหลับถ้าไม่ได้ทำสิ่งนี้...
จริงๆคำถามนี้อยากถาพ่อมากเลย แล้วจะตั้งใจช่วยพ่อให้พ่อได้ทำสิ่งนั้นจริงๆ แล้วสิ่งนั้นแหละก็คือสิ่งที่เราอยากทำก่อนตาย แล้วก็หวังว่าลูกเราจะทำแบบนี้มั่ง

คุณอยากเจอกับไอ้เต้ยตอนอายุเท่าไหร่ แล้วจะบอกอะไรกับเค้า
อยากเจอตอนวันเกิดอายุ 27 ปี (เดือนกรกฎานี้) แล้วถามว่าหวยออกอะไร

วันที่เสียน้ำตามากที่สุด
ตอนป.4 พ่อส่งเข้าโรงเรียนประจำ แล้ววันแรกที่พ่อมารับก็ร้องไห้ดีใจไม่หยุด พ่อก็ตี เพราะนึกว่าดื้อ


พยายามคัดเอาคำถามแพทเทิร์นของคอลัมม์ Talking Head ของ aday มาลองตอบ
เพราะตอนอ่านคิดว่าคนตอบมันพยายามจะตอบแบบเท่ๆ เลยลองตอบดูมั่ง เผื่อจะคูลแบบชาวบ้านแนวๆ
แล้ววันนั้นก็มีจริง..... เมื่อวาน aday bulletin มาสัมภาษณ์ที่บ้านครับ

จริงๆเค้าจะมาสัมภาษณ์พี่ตี๋ (พี่ที่art4d) แต่พี่ตี๋ยังไม่พร้อม อาจจะยังไม่คูลพอเลยให้มาบ้านเรา ตอนแรกก็ดีใจว่า aday มา ตอนหลัง (หลังจากตกลงเค้าไปแล้ว) เลยนึกขึ้นได้ว่า สงสัยเค้าจะมาถ่ายบ้านคนที่ชอบไปวิจารณ์บ้านคนนั้นคนนี้ ดูสิว่ามันจะแน่ซักแค่ไหน

เอาเข้าจริงก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นครับ เค้าก็ถามคำถามปกติ ...ที่มาที่ไปของบ้าน ไลฟ์สไตล์เราเป็นไง แล้วก็พวกคำถามแพทเทิร์นคล้ายๆข้างบน เข้าทางไอเต้ยแล้ว เพราะผมเป็นคนคูล และเป็นครูด้วย เลยเหมือนสอนเด็กไปในตัวว่าบ้านต้องเป็นอย่างโง้นอย่างงี้ แล้วก็สรุปว่า ...เราควรอยู่อย่างพอเพียง

เท่ชะมัด

เดี๋ยวหนังสือเค้าออกก็อย่าลืมไปหยิบมาอ่านฟรีกันนะครับ




Friday, 13 February 2009

ODOT#10_13022009

ฉบับฉลองวันศุกร์ 13 ขอนำเสนอเรื่อง ไม่เชื่อ...อย่าลบหลู่


พระครูวิจิตรครับ
ผมมีอะไรจะถาม

1. ไอ่หัวข่า หัวขิง 3 ตำลึงเนี้ย..ทำไมไม่ใช้หน่วยสากลละครับ แล้วชาวบ้านที่ไหนจะไปรู้ว่า 1 ตำลึงเท่ากับกี่ขีด เท่าที่ผมลองไปหาดูพบว่า

1 ชั่ง = 20 ตำลึง
1 ตำลึง = 4 บาท
1 บาท = 4 สลึง
1 สลึง = 2เฟื้อง

ตามมาตรฐานสากล ทองคำ 1 บาทจะหนัก 15.2 กรัม ถ้า ทอง 4 บาท ก็จะหนัก 60.8 กรัม = 1 ตำลึง
ฉะนั้น หัวข่า หัวขิง 3 ตำลึงที่ว่าเนี้ย..ก็จะต้องใช้ในปริมาณ 182.4 กรัม หรือเท่ากับ 1.824 ขีด
ลำบากมั๊ยเนี้ย...จะขาดจะเกินก็ไม่ได้ กลัว เดี๋ยวจะมีอันเป็นไปทั้งครอบครัว

2. ถ้ามีคนได้จดหมายนี้แล้วเก็บไว้ ก็จะต้องป่วยกระทันหันแล้วถ้าดันป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ แล้วเค้าจะกินยาไปหาพระแสงอะไรละครับ เพราะแค่ส่งจดหมายแค่ 20 ฉบับ นอกจากจะหายแล้ว ยังจะถูกหวยอีกด้วย ดีจริงๆ

3. ถ้าจะส่งแล้วจ่าหน้าซองว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วไปรษณีย์เค้าจะไปส่งที่ไหนครับ

4. แล้วถ้าผมเขียน 21 ฉบับ ชีวิตผมจะดีขึ้นมั๊ยครับ

5. ผมเผยแพร่ให้แล้วนะครับ เดี๋ยวจะลองไปซื้อหวยงวดนี้ดู ถ้าถูกขึ้นมาจริงๆ พระครูช่วยเขียนชื่อผมลงในข้อ 4 ด้วยนะครับ ผมอยากดัง


ปล.
ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่นะครับ

Tuesday, 10 February 2009

ODOT#9_10022009

ความเลว...กำลังจะกลับมา!!!



เร็วๆ นี้

art4lew ฉบับ "Kitchen ไร"

Sunday, 8 February 2009

ODOT#8_08022009

ทำไมไม่ "เซ็นรัต"

ย้อนกลับไปสมัยเรียนที่ศิลปากร

"เฮ้ย เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วไปไหนดีวะ"
"เซ็นปิ่น"

ผมไม่ทราบว่าใครเป็นคนบัญญัติศัพท์คำย่อว่า "เซ็นปิ่น" เป็นคนแรก
รู้แต่ว่า ตอนได้ยินครั้งแรกโคตรจะงงเลยว่า ห้างอะไรวะชื่อประหลาดอีหลี (ตอนนั้นเพิ่งเข้ากรุง)

เซ็นทรัลปิ่นเกล้า คือชื่อเต็มของห้างที่กำลังพูดถึง



วันนี้...ผมมาอาศัยอยู่บางกระสอแล้ว
เวลาไปซื้อของ ต้องไปที่เซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์


"พี่ต้องครับ อยู่ไหนอะพี่"
"เซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์"

เออ ทียังงี้ทำไมเค้าไม่ย่อกันนะ เซ็น-ทรัล-รัต-ตะ-นา-ธิ-เบศร์ .... 7 พยางค์ (สะกดยากด้วย)

ที เซ็น-ทรัล-ปิ่น-เกล้า สั้นๆดันย่อ








ปล. หลังจากรู้จักกับ "เซ็นปิ่น" ตอนปี 1 ไม่นานก็มีศัพท์คำว่า "เซ็งเป็ด" ออกใช้กันแพร่หลาย เราก็พยายามหาข้อมูลอยู่นานว่าไอ้ห้างเซ็งเป็ดนี่มันอยู่แถวไหน เดี๋ยวเค้าจะหาว่าคนอุดรบ้านนอก ....บักเต้ยเอ๊ยยย





Saturday, 7 February 2009

ODOT#7_07022009

วันนี้วันเสาร์
ตัวยังร้อนนิดๆ ว่าจะออกไปถ่ายรูปงาน TALA ให้พี่หมงแต่เช้า แต่ไม่ไหว รอดูตอนเย็นอีกที

เลยนอนดูหนังไทยอยู่บ้าน 2 เรื่องติด

"รักสามเศร้า" กับ "พลอย" (ใครยังไม่ได้ดูโปรดระวัง เนื้อหาด้านล่างเต็มไปด้วยสปอย)
เป็นหนังรักที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างไม่น่าเชื่อ
แล้วสิ่งที่เชื่อมโยงก็ทำให้ผมอึ้งมาก มันคือการ "สวมถุงยางอนามัย" ของคนที่จะมาข่มขืนนางเอก !!
อึ้งมั๊ยละครับ...


(ขอบคุณรูปจาก http://www.bangkokbiznews.com/2008/06/03/news_262935.php)

ขอแอบเล่าคร่าวๆ ให้คนที่ยังไม่ได้ดู แต่สนใจเรื่องการข่มขืนนางเอกก่อน

รักสามเศร้า - พระเอกชื่อเป้ชอบน้องพีค (ผมก็ชอบ) แต่นางเอกที่ชื่อก้อยแอบชอบเป้ แต่ประเด็นของเราคือ นางก้อยเนี้ย โดนพี่ที่ออฟฟิศมาจีบ แต่จีบไม่ติดซะที เลยข่มขืนแม่งเลย ไม่ใส่ถุงยางด้วย แล้วมันมีช็อตที่ไอ้พี่ที่ออฟฟิศมาขอโทษ แล้วบอกว่า "คราวหน้าพี่จะไม่ลืมซื้อถุงยาง"

มาถึงเรื่อง
พลอย - พระเอกกะนางเอกรักจางที่ปลากระพงมาจากไหนไม่ทราบ แต่ในเรื่องพอรักจางแล้วนางเอกคือหมิวหนีไปกินเหล้า เลยถูกคนอื่นหลอกไปข่มขืน แต่....ไอ้บ้ากามคนนั้นมันพูดออกมาว่า "ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมใส่ถุงยาง"

คือผมจะไม่ได้สนใจเรื่องถุงยางเลย ถ้าไม่ได้ดูหนัง 2 เรื่องนี้ติดกัน
คำถามหลังจากดูพลอยจบคือ ที่ไอ้บ้ากามบอกหมิวว่า "ไม่ต้องกลัวนะครับ" เนี้ย หมิวกลัวอะไร ?

1. "ไม่ต้องกลัว ท้อง นะครับ"

2. "ไม่ต้องกลัว เป็นเอดส์ นะครับ"

3. "ไม่ต้องกลัว ผี นะครับ"

ไอ้ 2 อย่างแรกก็พอเข้าใจได้นะครับ แต่อย่างสุดท้ายเนี้ยคงจะแปลกๆเหมือนกันถ้ามันต่อท้ายว่า
"ผมใส่ถุงยาง"

มีชัย วีระไวทยะกล่าวไว้ว่า ปี 2551 มีคนติดเอดส์ที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณ 5 แสนคน และเพิ่มขึ้นวันละ 55 คน หรือเฉลี่ย ชั่วโมงละ 2 คน
ฟังแล้วเหมือนจะมาก แต่ยังไกลตัวอยู่ แต่ขอโทษ โรคเอดส์เป็นได้แค่ครั้งเดียวนะครับ ไม่ใช่ไข้สมองอักเสบ ไม่ต้องรอให้มาใกล้ตัว ป้องกันทุกครั้งที่พาน้องไปเที่ยว ขนาดข่มขืนนางเอกยังต้องใส่เลย แล้วนี่ไปข่มขืนตัวประกอบเรื่องไหนมาก็ไม่รู้



กลับมาที่หนังต่อ
จริงๆแล้วการแสดงออกว่าใส่ถุงยางมันควรจะเป็นภาคบังคับของหนังที่มีฉากข่มขืน ว่าต้องพูดด้วยนะว่าใส่ถุงยาง (เหมือนการบังคับให้มีรูปฟันเหลืองๆบนซองบุหรี่) อย่างเรื่องพลอย โอเคเลย หรือ รักสามเศร้าก็เห็นผลของการไม่ใส่ถุง (โดนดินสอเสียบคอซะ ...สม) แน่นอนว่าในละครก็ต้องปฏิบัติด้วย ถ้าจะเอากันจริงๆ (หมายถึงรณรงค์นะครับ)

Thursday, 5 February 2009

ODOT#6_05022009

วันนี้ป่วยครับ

เมื่อเช้าไปหาหมอที่โรงบาลนนทเวช
อาการคือปวดหัว ตัวร้อน ชีพจรเต้นแรง ปวดกระบอกตา
หมอบอกว่า เป็นไข้ครับ
แต่...
ไม่ใช่ไข้ธรรมดา

ไข้ธรรมดา หรือไข้หวัด อาการคือ ปวดหัวตัวร้อนและมีน้ำมูก+เสมหะ+ไอ เพราะเชื้อมันจะพยายามแพร่ตัวเองด้วยการทำให้เราไอ แล้วพวกละอองขี้มูกมันก็จะล่องลอยปะปนในอากาศไปติดคนอื่นที่ซวยเดินผ่านมาสูดเข้าไป

แต่ไข้ที่ผมเป็น หมอบอกว่าอาจจะเป็นเชื้อที่เรียกว่า
encephalitis virus (จริงๆก็จำไม่ได้หรอก แต่จำชื่อไทยมาเสิร์ชอีกที) ผมขอร้องหมอให้พากษ์ไทย หมอเลยแปลให้ว่าเป็น "ไข้สมองอักเสบ"

"เอ่อ....หมอครับ ผมจะตายมั๊ยครับ"
"ยังหรอกจ๊ะ จะทรมานไปพักนึงก่อน" ผมนึกเอาเอง ในระหว่างที่หมอพรั่งพรูการวินิจฉัยเรื่องเป็นไข้แบบไม่มีขี้มูกของผม

วิธีสังเกตอาการของโรคไข้สมองอักเสบง่ายๆแบบที่เราสำรวจเองได้คือ
1. ปวดหัวตอนเช้าทั่วทั้งหัว
2. ตัวร้อน หัวใจเต้นแรง หายใจแรงเหมือนคนเหนื่อย
3. 2 อย่างแรก มันเหมือนคนเป็นไข้หวัด แต่ถ้าไม่มีขี้มูก + ไอ ให้สังเกตอาการข้อ 4
4. อันนี้สำคัญมาก ลองก้มหัวลงให้คางติดหน้าอก ถ้าก้มลำบาก ตึงๆตรงท้ายทอย นั่นแแหละอาการที่ชัดที่สุด

ไข้สมองอักเสบ มันจะไม่แพร่เชื้อจากคนสู่คน แต่จะใช้ยุงเป็นพาหะ พอเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วมันจะไปทำลายระบบประสาท กล้ามเนื้อ ทำให้ขยับลำบากแบบที่หมอพยายามให้ก้มหัวให้ดู หนักเข้าก็ทำให้อ่อนเพลีย อาเจียน หายใจไม่สม่ำเสมอ ชักกระตุก และตายภายใน 7 วัน

ผมปวดหัวแบบนี้เป็นวันที่ 2 แล้วครับ
เหลือเวลาอีก 5 วัน ทำอะไรดีละทีนี้



ปล.
หมอนัดดูอาการอีกทีวันที่ 10 กพ. เพราะวันที่ 9 เป็นวันมาฆะบูชา !




Tuesday, 3 February 2009

ODOT#5_03022009

นี่คือการปั่นบล็อคให้มันทันวันนี้

ผมรู้ว่า มีคนเอาหนังสั้นในตำนานมาลง youtube แล้ว
"สมบูรณ์...แกไม่รอด"



หนังที่ได้แรงบันดาลใจจาก The Two Beat (คู่หูคู่ฮา)
แต่อันนี้มันแสดงคนเดียวเลยชื่อ "The One Beat" ตอนนั้นคิดแค่นั้นแหละ..

ODOT#4_02022009

ใครที่ว่าตัดผมวันพุธแล้วไม่ดีแต่
วันนี้ผมรู้แล้วว่า...

ไม่ควรตัดผมในวันอาทิตย์สิ้นเดือน

เพราะในวันนั้นมันจะมีแต่เด็กพรั่งพรูมาตัดก่อนที่จะโดนตรวจผมหน้าเสาธงในวันรุ่งขึ้น

ก่อนหน้าผม 3 คนเป็นเด็กดูหน้าตาคงไม่เกินม.ต้น และมีเด็กทยอยเข้ามาเรื่อยๆ ต่อคิวผมอีก 3 คนเป็นเด็กประถมเองมั้ง ไอ้ 3 คนแรกก็ต้องตัดตามระเบียบคือรองทรงสูง ไอ้ 3 คนหลังจากผมไม่ต้องพูดถึงมันเลย ดูจากร่องรอยเดิมของมันแล้ว ทรงกะลาครอบชัวร์!

...ถึงคิวผมแล้ว
"พี่ เอาทรงเดิม สั้นๆหน่อยนะ" ตอนนั้นก็คิดว่าจะซอยออกเหมือนทุกร้า่น เพราะทรงเดิมผมมันก็แค่ตัดๆเล็มๆออกให้ดูสั้นลงแค่นั้นเอง

ผ้าไนลอนคลุมไหล่ จัดการถอดแว่นเรียบร้อย สายตาสั้น 700 จะมองเห็นอะไรอีกนอกจากเศษผมที่ร่วงลงมาติดผ้าคลุมในระยะ 20 ซม. เสียงปัตตาเลี่ยนดังหึ่งๆๆๆๆๆ แกรกกกกก ...เอ๊ะ ชักสังหรณ์ใจ แต่ไม่ทันซะแล้ว...ชิบหาย แม่งไถซะเกือบหมดหัว มันคิดว่าเราอยู่ม.5 รึไงฟะ มองในกระจกก็ไม่เห็นว่ามันทำอะไรไปบ้าง วิธีที่ดีที่สุดตอนนั้นคือ ...หลับตา ....ทำใจให้สบาย

พี่เค้าคงตัดพวกเด็กหัวเกรียนมาทั้งวัน จนครีเอททรงอื่นไม่ได้แล้ว T_T

60 บาท กับการได้กลับไปเป็นเด็กม.ปลายอีกที
ไปละ ต้องไปเขาชนไก่ก่อน

ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจนะครับ
ซึ้งใจจริงๆ













Monday, 2 February 2009

ODOT#3_01022009

เข้าสู่วันที่ 3 (แต่มาเขียนในวันที่ 4) ผมรู้แล้วว่า...

"ฮะ" แปลว่าสมพงษ์ "ชง"แปลว่าปะทะ

ปี 2552 ปีชงมี 4 ปี ได้แก่ ผู้ที่เกิดปี ฉลู ปีจอ ปีมะแม และ ปีมะโรง

เลยไปทำบุญแก้ชง
ตอนแรกว่าจะไปวัดเล่งเน่ยยี่ 2 แถวบ้าน แต่เปลี่ยนใจไปวัดต้นฉบับที่เยาวราชดีกว่า
เพราะตอนบ่ายต้องไปทำงานต่อที่หอศิลป์กทม.


วิธีการคือ ไปไหว้ขอพรกับเทพ ไท้ส่วนเอี๊ย แล้วปัดด้วยแผ่นอะไรซักอย่างสีแดงๆ 13 ครั้ง
(จริงๆเค้าจะมีศัพท์เทคนิคนะครับ แต่จำไม่ได้ว่าแผ่นนั้นชื่ออะไร)
คอนเซ็ปต์คือการปัดเป่าความไม่ดีในตัวเราออกไป

ภายในวัดอุดมไปด้วยคนไทยเชื้อสายจีนเบียดเสียดกันเข้าไปขอพรกับเทพเจ้าในวัดกันอย่างคับคั่งเต็มคอร์ทภายในจนล้นออกมานอกถนน แค่คนไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมครับเพราะผมชอบดูคนเหมือนกัน แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคคือควันธูปที่ตลบอบอวลอยู่ภายในสเปซที่เรียกว่า Chinese Courtyard
ที่มา : http://depts.washington.edu/chinaciv/home/tintrhme.htm

การวางผังวัดหรือบ้านแบบจีมมักจะมีคอร์ทภายในเสมอ ถ้าเทียบกับบ้านไทยมันคือชานบ้านที่เป็น communal space สำหรับแจกเข้าไปแต่ละห้องนั่นเอง แต่คอร์ทวัดจีนที่ไปมาวันนั้นประมาณ 3 วัดนั้นเอาหลังคามาปิดหมดแล้ว โดยการทำโครงหลังคาเหล็กแล้วก็มุงสังกะสี 2 ชั้นเพื่อให้มีที่ว่างระบายอากาศใต้หลังคา แอ๊ดว้านซ์กว่านั้นก็ติดพัดลมเป่าควันธูปออกไป เข้าใจว่าคนทำคงหวังดี ทำหลังคาเพื่อกันแดดกันฝน แต่พอถึงเทศกาลไหว้แบบนี้มันก็เลยตลบอยู่ในคอร์ทถึงแม้จะมีช่องเปิดเยอะแล้วก็ตาม ให้ตายเถอะ เข้าใจเลยว่าทำไมซานติก้าถึงตายกันเยอะ!!
นอกเรื่องมาเยอะ กลับเข้าเรื่องกันดีกว่า
ตอนทำพิธีบีคงรู้ว่าผมไม่ค่อยเชื่ออะไรแบบนี้อยู่แล้ว เลยจัดการปัดเป่าให้หมดทุกอย่างผมน้ำตาไหลเลยครับ

ซึ้ง!!!

ป่าว...ควันธูปเข้าตา

จริงๆผมเชื่อในเรื่องการกระทำของตัวเองมากกว่า แต่ถ้ามันจะไปพ้องกับ ฮะ หรือ ชง ก็คงจะพออธิบายกล้อมแกล้มไปได้ว่าทำเพื่อความสบายใจ "ของทุกคน" ซึ่งผมว่ามันเป็นสิ่งที่จะ"ฮะ"กับผม (ถ้าไม่ทำอาจโดนด่า ซึ่งผมคิดว่าอันนั้นแหละคือ"ชง")

แต่ก็ไม่ได้บอกว่าทำบุญแล้วจะ"ฮะ"เสมอไปนะฮะ

ขอพาดพิงถึงตอนไปทำบุญ 9 วัดกะเว็บฟอนต์ ตอนนั้นผมกะบีกลายเป็นตัวประหลาดไปเลยที่ไปทำบุญ เพราะกระทู้"ไปทำบุญ 9 วัดกันไหม"เค้ามาถ่ายรูป+กินกุ้งกันโว้ย นี่แหละ..ที่ทำบุญแล้วรู้สึกชง


โชคดีปีใหม่กันทุกคนนะสมพงษ์



Saturday, 31 January 2009

ODOT#2_31012009

โครงการรู้วันละอย่าง วันที่ 2 ผมรู้ว่า

เป็บซี่กรีน ไม่ได้ทำมาเพื่อความอร่อย ...แต่ทำมาเพื่อลดโลกร้อน

"เครื่องดื่มเป๊ปซี่ เซอร์ไพรส์ตลาดน้ำอัดลมรับปีใหม่และช่วงซัมเมอร์ เปิดตัว “เป๊ปซี่ กรีน” นวัตกรรมเป๊ปซี่สีเขียวครั้งแรกในประเทศไทย ที่ให้รสชาติเต็มที่ของเป๊ปซี่ และกลิ่นมิ้นต์อ่อนๆ พร้อมให้คนรุ่นใหม่ได้เติมความสดชื่นดับกระหายใน 6 ขนาด ได้แก่ แบบขวด PET 1.25 ลิตร 500 มล. กระป๋อง 325 มล. คูลแฮนด์ 250 มล. พร้อมด้วยขนาด 15 ออนซ์ และ 10 ออนซ์แบบขวดแก้วคืนขวด เพื่อช่วยลดโลกร้อน"

เมื่อวานตอนขับรถกลับบ้านเกิดหิวน้ำอย่างแรง เลยแวะ 7-11 ให้บีซื้อน้ำอะไรเปรี้ยวๆให้กินหน่อย จริงๆอยากกินชะเว็บแต่ไม่มี เลยได้น้ำมิรินด้ารสอะไรซักอย่างก็พอประทังไปได้ แต่บีซื้อ
"เป็บซี่กรีน" มาลองกิน เลยขอลองด้วย ดูดเข้าไปคำแรกก็แทบจะบ้วนทิ้งเลยละครับ
รสชาติมันเหมือน......(บรรยายไม่ถูก ลองพิมพ์"เป็บซี่กรีน"ในgoogleดู มีคนบรรยายเอาไว้ได้ดีทีเดียว ทั้งรสยาเบื่อหนู เป็บซี่ค้างคืน น้ำยาล้างห้องน้ำ คนชอบก็ว่าเหมือนเมลอน บ้างก็ว่าเหมือนแตงกวา ส่วนผมนั้นเหมือนร่างกายสั่งห้ามการรับรู้อย่างฉับพลัน เลยไม่สามารถคิดออกทันทีนะครับว่าเหมือนอะไร) ต้องตั้งสติในการขับรถกันใหม่เลยทีเดียว ดู ดู้ ดู ดูเป็บซี่ทำ ทำไมถึงทำกับชั้นได้

ผ่านมา 1 คืน เป็บซี่กรีนขวดเดิมยังตั้งอยู่ในรถ เลยนึกได้ว่าต้องลองหาข้อมูลว่า...รสชาติแบบนี้มันจะทำขึ้นมาทำไม (ว่ะ) เริ่มหาจาก www.pepsithai.com ก็ไม่พบข้อมูล เข้าไปบ.เสริมสุข www.sermsukplc.com ก็ไม่เจอ แต่เริ่มเห็นอะไรบางอย่างกับโครงการ "คนรุ่นใหม่หัวใจสีเขียว" จนมาพบกับข้อมูลตามที่ไฮไลท์ข้างบน ก็เลยรู้ว่ามันออกมาตามกระแสลดโลกร้อน!!!

แต่อยากจะบอกคนคิดแคมเปญจริงๆว่า Green มันไม่ได้แปลว่าสีเขียวเสมอไปนะ

ชาเขียว กินแล้วไม่ได้ช่วยให้โลกเย็นลง
กินถั่วเขียว ไม่ได้เย็นไปกว่ากินถั่วแดง
รวมไปถึงแอ๊ปเปิ้ลด้วย

เอ๊ะ! หรือเป็บซี่กรีนจะคิดเยอะกว่านั้น ทำให้ไม่อร่อย คนจะได้กินน้อยลง ผลิตน้อยลง โรงงานปล่อยของเสียน้อยลง โลกก็จะร้อนน้อยลง เป็นการบูรณาการเครื่องดื่มอัดลมไปเลย

โอ้ววว พอคิดแบบนี้แล้ว รสชาติเป็บซี่กรีนเมื่อคืน อร่อยขึ้นเยอะเลยครับ





ปล.
ในฐานนะอยู่ในวงการสถาปนิก ขอเชิญพวกเราแปลคำว่า Green Architecture ว่าสถาปัตยกรรมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรืออะไรทำนองนี้กันเถอะครับ อย่าแปลว่า"สถาปัตยกรรมสีเขียว"เลย เดี๋ยวพวกที่เข้าใจอะไรดาดๆจะเอาสีเขียวไปทาฝาบ้านกันหมด

Friday, 30 January 2009

ODOT#1_30012009

โครงการรู้วันละอย่าง

วันแรกของโครงการ ผมรู้ว่า...

กล้อง D3 ของนิคอนได้รับการออกแบบโดย Giugiaro

แล้วไอ้ Giugiaro คือใคร?

Giorgetto Giugiaro เกิดวันที่ 7 สิงหาคม 1938 เป็นนักออกแบบยนตรกรรมชาวอิตาลี เกิดที่เมือง Garessio

เค้าเป็นผู้นำทางการออกแบบในยุค 1970's ซึ่งเป็นยุคที่การออกแบบรถส่วนใหญ่จะใช้เส้นสายที่เฉียบคม จนถูกเรียกว่าเป็นยุค "folded paper" ซึ่งรถที่เขาออกแบบก็มีตั้งแต่ยี่ห้อ Alfa Romeo,Lamborghini, Audi, BMW, Bugatti, Cadillac, Ferrary, Fiat, Ford,Hyundai และอีกมากมายแม้กระทั้ง Isuzu Toyota ก็เอาด้วย

Giugiaro ได้รับรางวัลนักออกแบบยอดเยี่ยมแห่งศตรวรรษในปี 1999 และอีก 3 ปีต่อมาก็ได้รับรางวัลสูงสุดของวงการออกแบบรถยนตร์คือ Automotive Hall of Fame ที่เมือง Dearborn, Michigan

นอกจากการออกแบบรถแล้ว Giugiaro ยังถูกรับเชิญให้มาออกแบบโปรดักต์อีกหลายอย่าง เช่น เครื่องดนตรี เครื่อง Mac ของ Apple (ในอนาคต) ออกแบบเส้นพาสต้า!!! (ไม่น่าเชื่อว่ามันต้องออกแบบด้วย)

และที่เราสนใจคือการออกแบบบอดี้กล้อง D3 ของนิคอน

กล้อง DSLR รุ่นใหม่ของนิคอนได้รับการออกแบบใหม่ด้วยแนวคิดตาม “หลักสรีรศาสตร์” เช่น ออกแบบวงล้อหมุนคำสั่ง และหน้าจอแสดงข้อมูลการทำงานด้านบนให้ลาดเอียง และรูปทรงกริปจับถือได้สะดวก ส่วนโค้งของหัวกะโหลกด้านบน, กริป และด้านข้างเว้าสู่ศูนย์กลางเลนส์ และสัญลักษณ์สามเหลี่ยมสีแดงได้รับการออกแบบใหม่ เพื่อสื่อถึงความคมชัดของภาพ
ลองดูบทสัมภาษณ์ของ Giugiaro ที่พูดถึง D3 ได้ที่นี่
http://chsvimg.nikon.com/products/imaging/lineup/d3/en/design_lab/interview/

พอค้นข้อมูลไปเรื่อยๆพบว่า ก่อนหน้า D3 Giugiaro ออกแบบบอดี้ให้นิคอนมาตั้งแต่สมัย F3(1980)-F4(1988)-F5(1998รุ่นฉลองครบรอบนิคอน 50 ปี)-F6(2004เป็นปีสุดท้ายในการผลิตกล้องฟิล์มของนิคอน)