ถ้า aday มาสัมภาษณ์
ใครคือฮีโร่ตอนเด็ก
โงกุน
กลัวอะไรมากที่สุดในชีวิต
กลัวสิ่งที่ไม่รู้ เช่น ความมืด ไม่รู้ว่าจะมีอะไรโผล่มา
ทริปการเดินทางที่ประทับใจที่สุด ไปไหนและเมื่อไหร่
ภูสอยดาว ไปกับเพื่อนตอนประมาณปี 44 มั้ง
คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งบ่งชี้ว่าตุณโตเต็มวัย
ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งแบบจริงจัง
คุณดีไซน์ความตายของคุณไว้อย่างไร
อยากตายแบบรู้ตัวว่าจะตาย เช่น แก่ตาย หรือเป็นโรคร้ายที่มีช่วงรอดนิดหน่อย น่าจะเป็นเวลาคิดโปรเจ็คต์งานศพเจ๋งๆได้
ความจริง 1 ข้อที่คนอื่นไม่มีทางรู้
จริงๆอยากชกมวยไทยมาก และบีเพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานมานี้ เลยซื้อนวมกะกระสอบทรายเป็นของขวัญให้วันวาเลนไทน์
คุณจะไม่มีทางนอนตายตาหลับถ้าไม่ได้ทำสิ่งนี้...
จริงๆคำถามนี้อยากถาพ่อมากเลย แล้วจะตั้งใจช่วยพ่อให้พ่อได้ทำสิ่งนั้นจริงๆ แล้วสิ่งนั้นแหละก็คือสิ่งที่เราอยากทำก่อนตาย แล้วก็หวังว่าลูกเราจะทำแบบนี้มั่ง
คุณอยากเจอกับไอ้เต้ยตอนอายุเท่าไหร่ แล้วจะบอกอะไรกับเค้า
อยากเจอตอนวันเกิดอายุ 27 ปี (เดือนกรกฎานี้) แล้วถามว่าหวยออกอะไร
วันที่เสียน้ำตามากที่สุด
ตอนป.4 พ่อส่งเข้าโรงเรียนประจำ แล้ววันแรกที่พ่อมารับก็ร้องไห้ดีใจไม่หยุด พ่อก็ตี เพราะนึกว่าดื้อ
พยายามคัดเอาคำถามแพทเทิร์นของคอลัมม์ Talking Head ของ aday มาลองตอบ
เพราะตอนอ่านคิดว่าคนตอบมันพยายามจะตอบแบบเท่ๆ เลยลองตอบดูมั่ง เผื่อจะคูลแบบชาวบ้านแนวๆ
แล้ววันนั้นก็มีจริง..... เมื่อวาน aday bulletin มาสัมภาษณ์ที่บ้านครับ
จริงๆเค้าจะมาสัมภาษณ์พี่ตี๋ (พี่ที่art4d) แต่พี่ตี๋ยังไม่พร้อม อาจจะยังไม่คูลพอเลยให้มาบ้านเรา ตอนแรกก็ดีใจว่า aday มา ตอนหลัง (หลังจากตกลงเค้าไปแล้ว) เลยนึกขึ้นได้ว่า สงสัยเค้าจะมาถ่ายบ้านคนที่ชอบไปวิจารณ์บ้านคนนั้นคนนี้ ดูสิว่ามันจะแน่ซักแค่ไหน
เอาเข้าจริงก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นครับ เค้าก็ถามคำถามปกติ ...ที่มาที่ไปของบ้าน ไลฟ์สไตล์เราเป็นไง แล้วก็พวกคำถามแพทเทิร์นคล้ายๆข้างบน เข้าทางไอเต้ยแล้ว เพราะผมเป็นคนคูล และเป็นครูด้วย เลยเหมือนสอนเด็กไปในตัวว่าบ้านต้องเป็นอย่างโง้นอย่างงี้ แล้วก็สรุปว่า ...เราควรอยู่อย่างพอเพียง
เท่ชะมัด
เดี๋ยวหนังสือเค้าออกก็อย่าลืมไปหยิบมาอ่านฟรีกันนะครับ
Saturday, 21 February 2009
Friday, 13 February 2009
ODOT#10_13022009
ฉบับฉลองวันศุกร์ 13 ขอนำเสนอเรื่อง ไม่เชื่อ...อย่าลบหลู่
พระครูวิจิตรครับ
ผมมีอะไรจะถาม
1. ไอ่หัวข่า หัวขิง 3 ตำลึงเนี้ย..ทำไมไม่ใช้หน่วยสากลละครับ แล้วชาวบ้านที่ไหนจะไปรู้ว่า 1 ตำลึงเท่ากับกี่ขีด เท่าที่ผมลองไปหาดูพบว่า
1 ชั่ง = 20 ตำลึง
1 ตำลึง = 4 บาท
1 บาท = 4 สลึง
1 สลึง = 2เฟื้อง
ตามมาตรฐานสากล ทองคำ 1 บาทจะหนัก 15.2 กรัม ถ้า ทอง 4 บาท ก็จะหนัก 60.8 กรัม = 1 ตำลึง
ฉะนั้น หัวข่า หัวขิง 3 ตำลึงที่ว่าเนี้ย..ก็จะต้องใช้ในปริมาณ 182.4 กรัม หรือเท่ากับ 1.824 ขีด
ลำบากมั๊ยเนี้ย...จะขาดจะเกินก็ไม่ได้ กลัว เดี๋ยวจะมีอันเป็นไปทั้งครอบครัว
2. ถ้ามีคนได้จดหมายนี้แล้วเก็บไว้ ก็จะต้องป่วยกระทันหันแล้วถ้าดันป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ แล้วเค้าจะกินยาไปหาพระแสงอะไรละครับ เพราะแค่ส่งจดหมายแค่ 20 ฉบับ นอกจากจะหายแล้ว ยังจะถูกหวยอีกด้วย ดีจริงๆ
3. ถ้าจะส่งแล้วจ่าหน้าซองว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วไปรษณีย์เค้าจะไปส่งที่ไหนครับ
4. แล้วถ้าผมเขียน 21 ฉบับ ชีวิตผมจะดีขึ้นมั๊ยครับ
5. ผมเผยแพร่ให้แล้วนะครับ เดี๋ยวจะลองไปซื้อหวยงวดนี้ดู ถ้าถูกขึ้นมาจริงๆ พระครูช่วยเขียนชื่อผมลงในข้อ 4 ด้วยนะครับ ผมอยากดัง
ปล.
ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่นะครับ
พระครูวิจิตรครับ
ผมมีอะไรจะถาม
1. ไอ่หัวข่า หัวขิง 3 ตำลึงเนี้ย..ทำไมไม่ใช้หน่วยสากลละครับ แล้วชาวบ้านที่ไหนจะไปรู้ว่า 1 ตำลึงเท่ากับกี่ขีด เท่าที่ผมลองไปหาดูพบว่า
1 ชั่ง = 20 ตำลึง
1 ตำลึง = 4 บาท
1 บาท = 4 สลึง
1 สลึง = 2เฟื้อง
ตามมาตรฐานสากล ทองคำ 1 บาทจะหนัก 15.2 กรัม ถ้า ทอง 4 บาท ก็จะหนัก 60.8 กรัม = 1 ตำลึง
ฉะนั้น หัวข่า หัวขิง 3 ตำลึงที่ว่าเนี้ย..ก็จะต้องใช้ในปริมาณ 182.4 กรัม หรือเท่ากับ 1.824 ขีด
ลำบากมั๊ยเนี้ย...จะขาดจะเกินก็ไม่ได้ กลัว เดี๋ยวจะมีอันเป็นไปทั้งครอบครัว
2. ถ้ามีคนได้จดหมายนี้แล้วเก็บไว้ ก็จะต้องป่วยกระทันหันแล้วถ้าดันป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ แล้วเค้าจะกินยาไปหาพระแสงอะไรละครับ เพราะแค่ส่งจดหมายแค่ 20 ฉบับ นอกจากจะหายแล้ว ยังจะถูกหวยอีกด้วย ดีจริงๆ
3. ถ้าจะส่งแล้วจ่าหน้าซองว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วไปรษณีย์เค้าจะไปส่งที่ไหนครับ
4. แล้วถ้าผมเขียน 21 ฉบับ ชีวิตผมจะดีขึ้นมั๊ยครับ
5. ผมเผยแพร่ให้แล้วนะครับ เดี๋ยวจะลองไปซื้อหวยงวดนี้ดู ถ้าถูกขึ้นมาจริงๆ พระครูช่วยเขียนชื่อผมลงในข้อ 4 ด้วยนะครับ ผมอยากดัง
ปล.
ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่นะครับ
Tuesday, 10 February 2009
Sunday, 8 February 2009
ODOT#8_08022009
ทำไมไม่ "เซ็นรัต"
ย้อนกลับไปสมัยเรียนที่ศิลปากร
"เฮ้ย เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วไปไหนดีวะ"
"เซ็นปิ่น"
ผมไม่ทราบว่าใครเป็นคนบัญญัติศัพท์คำย่อว่า "เซ็นปิ่น" เป็นคนแรก
รู้แต่ว่า ตอนได้ยินครั้งแรกโคตรจะงงเลยว่า ห้างอะไรวะชื่อประหลาดอีหลี (ตอนนั้นเพิ่งเข้ากรุง)
เซ็นทรัลปิ่นเกล้า คือชื่อเต็มของห้างที่กำลังพูดถึง
วันนี้...ผมมาอาศัยอยู่บางกระสอแล้ว
เวลาไปซื้อของ ต้องไปที่เซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์
"พี่ต้องครับ อยู่ไหนอะพี่"
"เซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์"
เออ ทียังงี้ทำไมเค้าไม่ย่อกันนะ เซ็น-ทรัล-รัต-ตะ-นา-ธิ-เบศร์ .... 7 พยางค์ (สะกดยากด้วย)
ที เซ็น-ทรัล-ปิ่น-เกล้า สั้นๆดันย่อ
ปล. หลังจากรู้จักกับ "เซ็นปิ่น" ตอนปี 1 ไม่นานก็มีศัพท์คำว่า "เซ็งเป็ด" ออกใช้กันแพร่หลาย เราก็พยายามหาข้อมูลอยู่นานว่าไอ้ห้างเซ็งเป็ดนี่มันอยู่แถวไหน เดี๋ยวเค้าจะหาว่าคนอุดรบ้านนอก ....บักเต้ยเอ๊ยยย
ย้อนกลับไปสมัยเรียนที่ศิลปากร
"เฮ้ย เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วไปไหนดีวะ"
"เซ็นปิ่น"
ผมไม่ทราบว่าใครเป็นคนบัญญัติศัพท์คำย่อว่า "เซ็นปิ่น" เป็นคนแรก
รู้แต่ว่า ตอนได้ยินครั้งแรกโคตรจะงงเลยว่า ห้างอะไรวะชื่อประหลาดอีหลี (ตอนนั้นเพิ่งเข้ากรุง)
เซ็นทรัลปิ่นเกล้า คือชื่อเต็มของห้างที่กำลังพูดถึง
วันนี้...ผมมาอาศัยอยู่บางกระสอแล้ว
เวลาไปซื้อของ ต้องไปที่เซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์
"พี่ต้องครับ อยู่ไหนอะพี่"
"เซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์"
เออ ทียังงี้ทำไมเค้าไม่ย่อกันนะ เซ็น-ทรัล-รัต-ตะ-นา-ธิ-เบศร์ .... 7 พยางค์ (สะกดยากด้วย)
ที เซ็น-ทรัล-ปิ่น-เกล้า สั้นๆดันย่อ
ปล. หลังจากรู้จักกับ "เซ็นปิ่น" ตอนปี 1 ไม่นานก็มีศัพท์คำว่า "เซ็งเป็ด" ออกใช้กันแพร่หลาย เราก็พยายามหาข้อมูลอยู่นานว่าไอ้ห้างเซ็งเป็ดนี่มันอยู่แถวไหน เดี๋ยวเค้าจะหาว่าคนอุดรบ้านนอก ....บักเต้ยเอ๊ยยย
Saturday, 7 February 2009
ODOT#7_07022009
วันนี้วันเสาร์
ตัวยังร้อนนิดๆ ว่าจะออกไปถ่ายรูปงาน TALA ให้พี่หมงแต่เช้า แต่ไม่ไหว รอดูตอนเย็นอีกที
เลยนอนดูหนังไทยอยู่บ้าน 2 เรื่องติด
"รักสามเศร้า" กับ "พลอย" (ใครยังไม่ได้ดูโปรดระวัง เนื้อหาด้านล่างเต็มไปด้วยสปอย)
เป็นหนังรักที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วสิ่งที่เชื่อมโยงก็ทำให้ผมอึ้งมาก มันคือการ "สวมถุงยางอนามัย" ของคนที่จะมาข่มขืนนางเอก !!
อึ้งมั๊ยละครับ...
(ขอบคุณรูปจาก http://www.bangkokbiznews.com/2008/06/03/news_262935.php)
ขอแอบเล่าคร่าวๆ ให้คนที่ยังไม่ได้ดู แต่สนใจเรื่องการข่มขืนนางเอกก่อน
รักสามเศร้า - พระเอกชื่อเป้ชอบน้องพีค (ผมก็ชอบ) แต่นางเอกที่ชื่อก้อยแอบชอบเป้ แต่ประเด็นของเราคือ นางก้อยเนี้ย โดนพี่ที่ออฟฟิศมาจีบ แต่จีบไม่ติดซะที เลยข่มขืนแม่งเลย ไม่ใส่ถุงยางด้วย แล้วมันมีช็อตที่ไอ้พี่ที่ออฟฟิศมาขอโทษ แล้วบอกว่า "คราวหน้าพี่จะไม่ลืมซื้อถุงยาง"
มาถึงเรื่อง พลอย - พระเอกกะนางเอกรักจางที่ปลากระพงมาจากไหนไม่ทราบ แต่ในเรื่องพอรักจางแล้วนางเอกคือหมิวหนีไปกินเหล้า เลยถูกคนอื่นหลอกไปข่มขืน แต่....ไอ้บ้ากามคนนั้นมันพูดออกมาว่า "ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมใส่ถุงยาง"
คือผมจะไม่ได้สนใจเรื่องถุงยางเลย ถ้าไม่ได้ดูหนัง 2 เรื่องนี้ติดกัน คำถามหลังจากดูพลอยจบคือ ที่ไอ้บ้ากามบอกหมิวว่า "ไม่ต้องกลัวนะครับ" เนี้ย หมิวกลัวอะไร ?
1. "ไม่ต้องกลัว ท้อง นะครับ"
2. "ไม่ต้องกลัว เป็นเอดส์ นะครับ"
3. "ไม่ต้องกลัว ผี นะครับ"
ไอ้ 2 อย่างแรกก็พอเข้าใจได้นะครับ แต่อย่างสุดท้ายเนี้ยคงจะแปลกๆเหมือนกันถ้ามันต่อท้ายว่า "ผมใส่ถุงยาง"
มีชัย วีระไวทยะกล่าวไว้ว่า ปี 2551 มีคนติดเอดส์ที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณ 5 แสนคน และเพิ่มขึ้นวันละ 55 คน หรือเฉลี่ย ชั่วโมงละ 2 คน ฟังแล้วเหมือนจะมาก แต่ยังไกลตัวอยู่ แต่ขอโทษ โรคเอดส์เป็นได้แค่ครั้งเดียวนะครับ ไม่ใช่ไข้สมองอักเสบ ไม่ต้องรอให้มาใกล้ตัว ป้องกันทุกครั้งที่พาน้องไปเที่ยว ขนาดข่มขืนนางเอกยังต้องใส่เลย แล้วนี่ไปข่มขืนตัวประกอบเรื่องไหนมาก็ไม่รู้
กลับมาที่หนังต่อ
จริงๆแล้วการแสดงออกว่าใส่ถุงยางมันควรจะเป็นภาคบังคับของหนังที่มีฉากข่มขืน ว่าต้องพูดด้วยนะว่าใส่ถุงยาง (เหมือนการบังคับให้มีรูปฟันเหลืองๆบนซองบุหรี่) อย่างเรื่องพลอย โอเคเลย หรือ รักสามเศร้าก็เห็นผลของการไม่ใส่ถุง (โดนดินสอเสียบคอซะ ...สม) แน่นอนว่าในละครก็ต้องปฏิบัติด้วย ถ้าจะเอากันจริงๆ (หมายถึงรณรงค์นะครับ)
ตัวยังร้อนนิดๆ ว่าจะออกไปถ่ายรูปงาน TALA ให้พี่หมงแต่เช้า แต่ไม่ไหว รอดูตอนเย็นอีกที
เลยนอนดูหนังไทยอยู่บ้าน 2 เรื่องติด
"รักสามเศร้า" กับ "พลอย" (ใครยังไม่ได้ดูโปรดระวัง เนื้อหาด้านล่างเต็มไปด้วยสปอย)
เป็นหนังรักที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วสิ่งที่เชื่อมโยงก็ทำให้ผมอึ้งมาก มันคือการ "สวมถุงยางอนามัย" ของคนที่จะมาข่มขืนนางเอก !!
อึ้งมั๊ยละครับ...
(ขอบคุณรูปจาก http://www.bangkokbiznews.com/2008/06/03/news_262935.php)
ขอแอบเล่าคร่าวๆ ให้คนที่ยังไม่ได้ดู แต่สนใจเรื่องการข่มขืนนางเอกก่อน
รักสามเศร้า - พระเอกชื่อเป้ชอบน้องพีค (ผมก็ชอบ) แต่นางเอกที่ชื่อก้อยแอบชอบเป้ แต่ประเด็นของเราคือ นางก้อยเนี้ย โดนพี่ที่ออฟฟิศมาจีบ แต่จีบไม่ติดซะที เลยข่มขืนแม่งเลย ไม่ใส่ถุงยางด้วย แล้วมันมีช็อตที่ไอ้พี่ที่ออฟฟิศมาขอโทษ แล้วบอกว่า "คราวหน้าพี่จะไม่ลืมซื้อถุงยาง"
มาถึงเรื่อง พลอย - พระเอกกะนางเอกรักจางที่ปลากระพงมาจากไหนไม่ทราบ แต่ในเรื่องพอรักจางแล้วนางเอกคือหมิวหนีไปกินเหล้า เลยถูกคนอื่นหลอกไปข่มขืน แต่....ไอ้บ้ากามคนนั้นมันพูดออกมาว่า "ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมใส่ถุงยาง"
คือผมจะไม่ได้สนใจเรื่องถุงยางเลย ถ้าไม่ได้ดูหนัง 2 เรื่องนี้ติดกัน คำถามหลังจากดูพลอยจบคือ ที่ไอ้บ้ากามบอกหมิวว่า "ไม่ต้องกลัวนะครับ" เนี้ย หมิวกลัวอะไร ?
1. "ไม่ต้องกลัว ท้อง นะครับ"
2. "ไม่ต้องกลัว เป็นเอดส์ นะครับ"
3. "ไม่ต้องกลัว ผี นะครับ"
ไอ้ 2 อย่างแรกก็พอเข้าใจได้นะครับ แต่อย่างสุดท้ายเนี้ยคงจะแปลกๆเหมือนกันถ้ามันต่อท้ายว่า "ผมใส่ถุงยาง"
มีชัย วีระไวทยะกล่าวไว้ว่า ปี 2551 มีคนติดเอดส์ที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณ 5 แสนคน และเพิ่มขึ้นวันละ 55 คน หรือเฉลี่ย ชั่วโมงละ 2 คน ฟังแล้วเหมือนจะมาก แต่ยังไกลตัวอยู่ แต่ขอโทษ โรคเอดส์เป็นได้แค่ครั้งเดียวนะครับ ไม่ใช่ไข้สมองอักเสบ ไม่ต้องรอให้มาใกล้ตัว ป้องกันทุกครั้งที่พาน้องไปเที่ยว ขนาดข่มขืนนางเอกยังต้องใส่เลย แล้วนี่ไปข่มขืนตัวประกอบเรื่องไหนมาก็ไม่รู้
กลับมาที่หนังต่อ
จริงๆแล้วการแสดงออกว่าใส่ถุงยางมันควรจะเป็นภาคบังคับของหนังที่มีฉากข่มขืน ว่าต้องพูดด้วยนะว่าใส่ถุงยาง (เหมือนการบังคับให้มีรูปฟันเหลืองๆบนซองบุหรี่) อย่างเรื่องพลอย โอเคเลย หรือ รักสามเศร้าก็เห็นผลของการไม่ใส่ถุง (โดนดินสอเสียบคอซะ ...สม) แน่นอนว่าในละครก็ต้องปฏิบัติด้วย ถ้าจะเอากันจริงๆ (หมายถึงรณรงค์นะครับ)
Thursday, 5 February 2009
ODOT#6_05022009
วันนี้ป่วยครับ
เมื่อเช้าไปหาหมอที่โรงบาลนนทเวช
อาการคือปวดหัว ตัวร้อน ชีพจรเต้นแรง ปวดกระบอกตา
หมอบอกว่า เป็นไข้ครับ
แต่...
ไม่ใช่ไข้ธรรมดา
ไข้ธรรมดา หรือไข้หวัด อาการคือ ปวดหัวตัวร้อนและมีน้ำมูก+เสมหะ+ไอ เพราะเชื้อมันจะพยายามแพร่ตัวเองด้วยการทำให้เราไอ แล้วพวกละอองขี้มูกมันก็จะล่องลอยปะปนในอากาศไปติดคนอื่นที่ซวยเดินผ่านมาสูดเข้าไป
แต่ไข้ที่ผมเป็น หมอบอกว่าอาจจะเป็นเชื้อที่เรียกว่า encephalitis virus (จริงๆก็จำไม่ได้หรอก แต่จำชื่อไทยมาเสิร์ชอีกที) ผมขอร้องหมอให้พากษ์ไทย หมอเลยแปลให้ว่าเป็น "ไข้สมองอักเสบ"
"เอ่อ....หมอครับ ผมจะตายมั๊ยครับ"
"ยังหรอกจ๊ะ จะทรมานไปพักนึงก่อน" ผมนึกเอาเอง ในระหว่างที่หมอพรั่งพรูการวินิจฉัยเรื่องเป็นไข้แบบไม่มีขี้มูกของผม
วิธีสังเกตอาการของโรคไข้สมองอักเสบง่ายๆแบบที่เราสำรวจเองได้คือ
1. ปวดหัวตอนเช้าทั่วทั้งหัว
2. ตัวร้อน หัวใจเต้นแรง หายใจแรงเหมือนคนเหนื่อย
3. 2 อย่างแรก มันเหมือนคนเป็นไข้หวัด แต่ถ้าไม่มีขี้มูก + ไอ ให้สังเกตอาการข้อ 4
4. อันนี้สำคัญมาก ลองก้มหัวลงให้คางติดหน้าอก ถ้าก้มลำบาก ตึงๆตรงท้ายทอย นั่นแแหละอาการที่ชัดที่สุด
ไข้สมองอักเสบ มันจะไม่แพร่เชื้อจากคนสู่คน แต่จะใช้ยุงเป็นพาหะ พอเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วมันจะไปทำลายระบบประสาท กล้ามเนื้อ ทำให้ขยับลำบากแบบที่หมอพยายามให้ก้มหัวให้ดู หนักเข้าก็ทำให้อ่อนเพลีย อาเจียน หายใจไม่สม่ำเสมอ ชักกระตุก และตายภายใน 7 วัน
ผมปวดหัวแบบนี้เป็นวันที่ 2 แล้วครับ เหลือเวลาอีก 5 วัน ทำอะไรดีละทีนี้
ปล.
หมอนัดดูอาการอีกทีวันที่ 10 กพ. เพราะวันที่ 9 เป็นวันมาฆะบูชา !
เมื่อเช้าไปหาหมอที่โรงบาลนนทเวช
อาการคือปวดหัว ตัวร้อน ชีพจรเต้นแรง ปวดกระบอกตา
หมอบอกว่า เป็นไข้ครับ
แต่...
ไม่ใช่ไข้ธรรมดา
ไข้ธรรมดา หรือไข้หวัด อาการคือ ปวดหัวตัวร้อนและมีน้ำมูก+เสมหะ+ไอ เพราะเชื้อมันจะพยายามแพร่ตัวเองด้วยการทำให้เราไอ แล้วพวกละอองขี้มูกมันก็จะล่องลอยปะปนในอากาศไปติดคนอื่นที่ซวยเดินผ่านมาสูดเข้าไป
แต่ไข้ที่ผมเป็น หมอบอกว่าอาจจะเป็นเชื้อที่เรียกว่า encephalitis virus (จริงๆก็จำไม่ได้หรอก แต่จำชื่อไทยมาเสิร์ชอีกที) ผมขอร้องหมอให้พากษ์ไทย หมอเลยแปลให้ว่าเป็น "ไข้สมองอักเสบ"
"เอ่อ....หมอครับ ผมจะตายมั๊ยครับ"
"ยังหรอกจ๊ะ จะทรมานไปพักนึงก่อน" ผมนึกเอาเอง ในระหว่างที่หมอพรั่งพรูการวินิจฉัยเรื่องเป็นไข้แบบไม่มีขี้มูกของผม
วิธีสังเกตอาการของโรคไข้สมองอักเสบง่ายๆแบบที่เราสำรวจเองได้คือ
1. ปวดหัวตอนเช้าทั่วทั้งหัว
2. ตัวร้อน หัวใจเต้นแรง หายใจแรงเหมือนคนเหนื่อย
3. 2 อย่างแรก มันเหมือนคนเป็นไข้หวัด แต่ถ้าไม่มีขี้มูก + ไอ ให้สังเกตอาการข้อ 4
4. อันนี้สำคัญมาก ลองก้มหัวลงให้คางติดหน้าอก ถ้าก้มลำบาก ตึงๆตรงท้ายทอย นั่นแแหละอาการที่ชัดที่สุด
ไข้สมองอักเสบ มันจะไม่แพร่เชื้อจากคนสู่คน แต่จะใช้ยุงเป็นพาหะ พอเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วมันจะไปทำลายระบบประสาท กล้ามเนื้อ ทำให้ขยับลำบากแบบที่หมอพยายามให้ก้มหัวให้ดู หนักเข้าก็ทำให้อ่อนเพลีย อาเจียน หายใจไม่สม่ำเสมอ ชักกระตุก และตายภายใน 7 วัน
ผมปวดหัวแบบนี้เป็นวันที่ 2 แล้วครับ เหลือเวลาอีก 5 วัน ทำอะไรดีละทีนี้
ปล.
หมอนัดดูอาการอีกทีวันที่ 10 กพ. เพราะวันที่ 9 เป็นวันมาฆะบูชา !
Tuesday, 3 February 2009
ODOT#5_03022009
นี่คือการปั่นบล็อคให้มันทันวันนี้
ผมรู้ว่า มีคนเอาหนังสั้นในตำนานมาลง youtube แล้ว
"สมบูรณ์...แกไม่รอด"
หนังที่ได้แรงบันดาลใจจาก The Two Beat (คู่หูคู่ฮา)
แต่อันนี้มันแสดงคนเดียวเลยชื่อ "The One Beat" ตอนนั้นคิดแค่นั้นแหละ..
ผมรู้ว่า มีคนเอาหนังสั้นในตำนานมาลง youtube แล้ว
"สมบูรณ์...แกไม่รอด"
หนังที่ได้แรงบันดาลใจจาก The Two Beat (คู่หูคู่ฮา)
แต่อันนี้มันแสดงคนเดียวเลยชื่อ "The One Beat" ตอนนั้นคิดแค่นั้นแหละ..
ODOT#4_02022009
ใครที่ว่าตัดผมวันพุธแล้วไม่ดีแต่
วันนี้ผมรู้แล้วว่า...
ไม่ควรตัดผมในวันอาทิตย์สิ้นเดือน
เพราะในวันนั้นมันจะมีแต่เด็กพรั่งพรูมาตัดก่อนที่จะโดนตรวจผมหน้าเสาธงในวันรุ่งขึ้น
ก่อนหน้าผม 3 คนเป็นเด็กดูหน้าตาคงไม่เกินม.ต้น และมีเด็กทยอยเข้ามาเรื่อยๆ ต่อคิวผมอีก 3 คนเป็นเด็กประถมเองมั้ง ไอ้ 3 คนแรกก็ต้องตัดตามระเบียบคือรองทรงสูง ไอ้ 3 คนหลังจากผมไม่ต้องพูดถึงมันเลย ดูจากร่องรอยเดิมของมันแล้ว ทรงกะลาครอบชัวร์!
...ถึงคิวผมแล้ว
"พี่ เอาทรงเดิม สั้นๆหน่อยนะ" ตอนนั้นก็คิดว่าจะซอยออกเหมือนทุกร้า่น เพราะทรงเดิมผมมันก็แค่ตัดๆเล็มๆออกให้ดูสั้นลงแค่นั้นเอง
ผ้าไนลอนคลุมไหล่ จัดการถอดแว่นเรียบร้อย สายตาสั้น 700 จะมองเห็นอะไรอีกนอกจากเศษผมที่ร่วงลงมาติดผ้าคลุมในระยะ 20 ซม. เสียงปัตตาเลี่ยนดังหึ่งๆๆๆๆๆ แกรกกกกก ...เอ๊ะ ชักสังหรณ์ใจ แต่ไม่ทันซะแล้ว...ชิบหาย แม่งไถซะเกือบหมดหัว มันคิดว่าเราอยู่ม.5 รึไงฟะ มองในกระจกก็ไม่เห็นว่ามันทำอะไรไปบ้าง วิธีที่ดีที่สุดตอนนั้นคือ ...หลับตา ....ทำใจให้สบาย
พี่เค้าคงตัดพวกเด็กหัวเกรียนมาทั้งวัน จนครีเอททรงอื่นไม่ได้แล้ว T_T
60 บาท กับการได้กลับไปเป็นเด็กม.ปลายอีกที
ไปละ ต้องไปเขาชนไก่ก่อน
ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจนะครับ
ซึ้งใจจริงๆ
วันนี้ผมรู้แล้วว่า...
ไม่ควรตัดผมในวันอาทิตย์สิ้นเดือน
เพราะในวันนั้นมันจะมีแต่เด็กพรั่งพรูมาตัดก่อนที่จะโดนตรวจผมหน้าเสาธงในวันรุ่งขึ้น
ก่อนหน้าผม 3 คนเป็นเด็กดูหน้าตาคงไม่เกินม.ต้น และมีเด็กทยอยเข้ามาเรื่อยๆ ต่อคิวผมอีก 3 คนเป็นเด็กประถมเองมั้ง ไอ้ 3 คนแรกก็ต้องตัดตามระเบียบคือรองทรงสูง ไอ้ 3 คนหลังจากผมไม่ต้องพูดถึงมันเลย ดูจากร่องรอยเดิมของมันแล้ว ทรงกะลาครอบชัวร์!
...ถึงคิวผมแล้ว
"พี่ เอาทรงเดิม สั้นๆหน่อยนะ" ตอนนั้นก็คิดว่าจะซอยออกเหมือนทุกร้า่น เพราะทรงเดิมผมมันก็แค่ตัดๆเล็มๆออกให้ดูสั้นลงแค่นั้นเอง
ผ้าไนลอนคลุมไหล่ จัดการถอดแว่นเรียบร้อย สายตาสั้น 700 จะมองเห็นอะไรอีกนอกจากเศษผมที่ร่วงลงมาติดผ้าคลุมในระยะ 20 ซม. เสียงปัตตาเลี่ยนดังหึ่งๆๆๆๆๆ แกรกกกกก ...เอ๊ะ ชักสังหรณ์ใจ แต่ไม่ทันซะแล้ว...ชิบหาย แม่งไถซะเกือบหมดหัว มันคิดว่าเราอยู่ม.5 รึไงฟะ มองในกระจกก็ไม่เห็นว่ามันทำอะไรไปบ้าง วิธีที่ดีที่สุดตอนนั้นคือ ...หลับตา ....ทำใจให้สบาย
พี่เค้าคงตัดพวกเด็กหัวเกรียนมาทั้งวัน จนครีเอททรงอื่นไม่ได้แล้ว T_T
60 บาท กับการได้กลับไปเป็นเด็กม.ปลายอีกที
ไปละ ต้องไปเขาชนไก่ก่อน
ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจนะครับ
ซึ้งใจจริงๆ
Monday, 2 February 2009
ODOT#3_01022009
เข้าสู่วันที่ 3 (แต่มาเขียนในวันที่ 4) ผมรู้แล้วว่า...
"ฮะ" แปลว่าสมพงษ์ "ชง"แปลว่าปะทะ
ปี 2552 ปีชงมี 4 ปี ได้แก่ ผู้ที่เกิดปี ฉลู ปีจอ ปีมะแม และ ปีมะโรง
เลยไปทำบุญแก้ชง
ตอนแรกว่าจะไปวัดเล่งเน่ยยี่ 2 แถวบ้าน แต่เปลี่ยนใจไปวัดต้นฉบับที่เยาวราชดีกว่า
เพราะตอนบ่ายต้องไปทำงานต่อที่หอศิลป์กทม.
วิธีการคือ ไปไหว้ขอพรกับเทพ ไท้ส่วนเอี๊ย แล้วปัดด้วยแผ่นอะไรซักอย่างสีแดงๆ 13 ครั้ง(จริงๆเค้าจะมีศัพท์เทคนิคนะครับ แต่จำไม่ได้ว่าแผ่นนั้นชื่ออะไร)
คอนเซ็ปต์คือการปัดเป่าความไม่ดีในตัวเราออกไป
ภายในวัดอุดมไปด้วยคนไทยเชื้อสายจีนเบียดเสียดกันเข้าไปขอพรกับเทพเจ้าในวัดกันอย่างคับคั่งเต็มคอร์ทภายในจนล้นออกมานอกถนน แค่คนไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมครับเพราะผมชอบดูคนเหมือนกัน แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคคือควันธูปที่ตลบอบอวลอยู่ภายในสเปซที่เรียกว่า Chinese Courtyard
ที่มา : http://depts.washington.edu/chinaciv/home/tintrhme.htm
การวางผังวัดหรือบ้านแบบจีมมักจะมีคอร์ทภายในเสมอ ถ้าเทียบกับบ้านไทยมันคือชานบ้านที่เป็น communal space สำหรับแจกเข้าไปแต่ละห้องนั่นเอง แต่คอร์ทวัดจีนที่ไปมาวันนั้นประมาณ 3 วัดนั้นเอาหลังคามาปิดหมดแล้ว โดยการทำโครงหลังคาเหล็กแล้วก็มุงสังกะสี 2 ชั้นเพื่อให้มีที่ว่างระบายอากาศใต้หลังคา แอ๊ดว้านซ์กว่านั้นก็ติดพัดลมเป่าควันธูปออกไป เข้าใจว่าคนทำคงหวังดี ทำหลังคาเพื่อกันแดดกันฝน แต่พอถึงเทศกาลไหว้แบบนี้มันก็เลยตลบอยู่ในคอร์ทถึงแม้จะมีช่องเปิดเยอะแล้วก็ตาม ให้ตายเถอะ เข้าใจเลยว่าทำไมซานติก้าถึงตายกันเยอะ!!
นอกเรื่องมาเยอะ กลับเข้าเรื่องกันดีกว่า
ตอนทำพิธีบีคงรู้ว่าผมไม่ค่อยเชื่ออะไรแบบนี้อยู่แล้ว เลยจัดการปัดเป่าให้หมดทุกอย่างผมน้ำตาไหลเลยครับ
ซึ้ง!!!
ป่าว...ควันธูปเข้าตา
จริงๆผมเชื่อในเรื่องการกระทำของตัวเองมากกว่า แต่ถ้ามันจะไปพ้องกับ ฮะ หรือ ชง ก็คงจะพออธิบายกล้อมแกล้มไปได้ว่าทำเพื่อความสบายใจ "ของทุกคน" ซึ่งผมว่ามันเป็นสิ่งที่จะ"ฮะ"กับผม (ถ้าไม่ทำอาจโดนด่า ซึ่งผมคิดว่าอันนั้นแหละคือ"ชง")
แต่ก็ไม่ได้บอกว่าทำบุญแล้วจะ"ฮะ"เสมอไปนะฮะ
ขอพาดพิงถึงตอนไปทำบุญ 9 วัดกะเว็บฟอนต์ ตอนนั้นผมกะบีกลายเป็นตัวประหลาดไปเลยที่ไปทำบุญ เพราะกระทู้"ไปทำบุญ 9 วัดกันไหม"เค้ามาถ่ายรูป+กินกุ้งกันโว้ย นี่แหละ..ที่ทำบุญแล้วรู้สึกชง
โชคดีปีใหม่กันทุกคนนะสมพงษ์
"ฮะ" แปลว่าสมพงษ์ "ชง"แปลว่าปะทะ
ปี 2552 ปีชงมี 4 ปี ได้แก่ ผู้ที่เกิดปี ฉลู ปีจอ ปีมะแม และ ปีมะโรง
เลยไปทำบุญแก้ชง
ตอนแรกว่าจะไปวัดเล่งเน่ยยี่ 2 แถวบ้าน แต่เปลี่ยนใจไปวัดต้นฉบับที่เยาวราชดีกว่า
เพราะตอนบ่ายต้องไปทำงานต่อที่หอศิลป์กทม.
วิธีการคือ ไปไหว้ขอพรกับเทพ ไท้ส่วนเอี๊ย แล้วปัดด้วยแผ่นอะไรซักอย่างสีแดงๆ 13 ครั้ง(จริงๆเค้าจะมีศัพท์เทคนิคนะครับ แต่จำไม่ได้ว่าแผ่นนั้นชื่ออะไร)
คอนเซ็ปต์คือการปัดเป่าความไม่ดีในตัวเราออกไป
ภายในวัดอุดมไปด้วยคนไทยเชื้อสายจีนเบียดเสียดกันเข้าไปขอพรกับเทพเจ้าในวัดกันอย่างคับคั่งเต็มคอร์ทภายในจนล้นออกมานอกถนน แค่คนไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมครับเพราะผมชอบดูคนเหมือนกัน แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคคือควันธูปที่ตลบอบอวลอยู่ภายในสเปซที่เรียกว่า Chinese Courtyard
ที่มา : http://depts.washington.edu/chinaciv/home/tintrhme.htm
การวางผังวัดหรือบ้านแบบจีมมักจะมีคอร์ทภายในเสมอ ถ้าเทียบกับบ้านไทยมันคือชานบ้านที่เป็น communal space สำหรับแจกเข้าไปแต่ละห้องนั่นเอง แต่คอร์ทวัดจีนที่ไปมาวันนั้นประมาณ 3 วัดนั้นเอาหลังคามาปิดหมดแล้ว โดยการทำโครงหลังคาเหล็กแล้วก็มุงสังกะสี 2 ชั้นเพื่อให้มีที่ว่างระบายอากาศใต้หลังคา แอ๊ดว้านซ์กว่านั้นก็ติดพัดลมเป่าควันธูปออกไป เข้าใจว่าคนทำคงหวังดี ทำหลังคาเพื่อกันแดดกันฝน แต่พอถึงเทศกาลไหว้แบบนี้มันก็เลยตลบอยู่ในคอร์ทถึงแม้จะมีช่องเปิดเยอะแล้วก็ตาม ให้ตายเถอะ เข้าใจเลยว่าทำไมซานติก้าถึงตายกันเยอะ!!
นอกเรื่องมาเยอะ กลับเข้าเรื่องกันดีกว่า
ตอนทำพิธีบีคงรู้ว่าผมไม่ค่อยเชื่ออะไรแบบนี้อยู่แล้ว เลยจัดการปัดเป่าให้หมดทุกอย่างผมน้ำตาไหลเลยครับ
ซึ้ง!!!
ป่าว...ควันธูปเข้าตา
จริงๆผมเชื่อในเรื่องการกระทำของตัวเองมากกว่า แต่ถ้ามันจะไปพ้องกับ ฮะ หรือ ชง ก็คงจะพออธิบายกล้อมแกล้มไปได้ว่าทำเพื่อความสบายใจ "ของทุกคน" ซึ่งผมว่ามันเป็นสิ่งที่จะ"ฮะ"กับผม (ถ้าไม่ทำอาจโดนด่า ซึ่งผมคิดว่าอันนั้นแหละคือ"ชง")
แต่ก็ไม่ได้บอกว่าทำบุญแล้วจะ"ฮะ"เสมอไปนะฮะ
ขอพาดพิงถึงตอนไปทำบุญ 9 วัดกะเว็บฟอนต์ ตอนนั้นผมกะบีกลายเป็นตัวประหลาดไปเลยที่ไปทำบุญ เพราะกระทู้"ไปทำบุญ 9 วัดกันไหม"เค้ามาถ่ายรูป+กินกุ้งกันโว้ย นี่แหละ..ที่ทำบุญแล้วรู้สึกชง
โชคดีปีใหม่กันทุกคนนะสมพงษ์
Subscribe to:
Posts (Atom)